เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2564
เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ สำหรับ MEGA หรือ บมจ.เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ แม้ว่าในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นมาตามดัชนี SET เนื่องจากไม่ได้อยู่ใน Theme Play ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกระจายวัคซีน ที่อาจนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการควบคุม ดันให้กลุ่ม ค้าปลีก, ท่องเที่ยว และโรงพยาบาลฟื้นกลับขึ้นมา หรือจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นแรง ดันกลุ่มพลังงานให้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แต่ในส่วนของ MEGA ยังไม่มีปัจจัยบวกสำคัญที่ทำให้เกิดการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น
เราจึงมุ่งประเด็นไปวิเคราะห์ที่ผลการดำเนินงานช่วง 1 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการเติบโตที่น่าสนใจ ที่สะท้อนให้เห็นว่าการระบาดของโควิด-19 กระทบกับการดำเนินงานของ MEGA ค่อนข้างจำกัดมาก
โดยผลการดำเนินงานของ MEGA ลดลงอย่างเห็นได้ชัดใน Q2/63 ทั้งในส่วนของรายได้จากการขายและบริการ กับกำไรสุทธิที่ลดลงจาก Q1/63 ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นมาใน Q3 และ Q4
จนมาถึง Q1/64 ผลการดำเนินงานของ MEGA ก็ยังอยู่ในแนวโน้มที่ดี โดยมีรายได้จากการขายและบริการจำนวน 3,270.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Q1/63 ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 3,077.10 ล้านบาท (+6.28% YoY) จากยอดขายผลิตภัณฑ์ของ Mega We Care และ Maxxcare ที่มีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นจากประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ลดลงจาก Q4/63 ที่มีรายได้จากการขายและบริการ 3,497.77 ล้านบาท (-6.50% QoQ)
ด้านกำไรสุทธิของ MEGA ใน Q1/64 ทำผลงานไว้ที่ 332.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Q1/63 ที่มีกำไรสุทธิ 321.06 ล้านบาท (+3.59% YoY) แต่ลดลงจาก Q4/63 ที่มีกำไรสุทธิ 425.38 ล้านบาท (-21.82% QoQ) เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น และด้วยความที่ Q4 เป็นช่วงที่ผลการดำเนินงานพีคที่สุดของปี ทำให้ได้ข้อสรุปออกมาในเชิงลดลง
เราจึงทำการวิเคราะห์อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin: NPM) เพิ่มเติม พบว่าใน Q1/64 MEGA มีอัตรากำไรสุทธิ 10.16% เทียบกับ Q4/63 และ Q1/63 ที่มีอัตรากำไรสุทธิ 12.16% และ 10.43% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายของ MEGA ยังทำได้ไม่ดีใน Q1/64 ที่ผ่านมา อาจต้องไปลุ้นในไตรมาสหลังจากนี้ว่าจะแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ หากทำได้ จะทำให้อัตราส่วนกำไรสุทธิดีขึ้น และทำให้ MEGA เป็นหุ้นที่น่าสนใจขึ้นไปอีกระดับหนึ่งเลยทีเดียว
สรุปผลการดำเนินงาน Q1/64 ของ MEGA มีรายได้และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบแบบ YoY จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายผลิตภัณฑ์ MEGA We Care และ Maxxcare แต่หากเทียบแบบ QoQ พบว่าลดลงจาก 2 ประเด็น ได้แก่ 1) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น และ 2) ช่วงเวลาที่ขายดีที่สุดของ MEGA จะอยู่ในช่วง Q4 ของทุกปี จึงทำให้การเปรียบเทียบออกมาในแง่ลดลง อย่างไรก็ตาม เราให้น้ำหนักไปที่ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร หลังวิเคราะห์อัตรากำไรสุทธิ (NPM) พบว่าลดลงเมื่อเทียบกับ QoQ และ YoY
ด้านราคาหุ้น MEGA เริ่มฟอร์มตัวเป็นขาขึ้น หลังเกิดการยกตัวของจุดต่ำสุดของราคาหุ้น (Higher Low) จากโซน 32.25 บาท และ 34.50 บาท และอยู่ระหว่างการขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 37.75 บาท หากทะลุจุดนี้ได้ จะเป็นการยกตัวของฝั่งจุดสูงสุดของราคาหุ้น (Higher High) ซึ่งเป็นการคอนเฟิร์มขาขึ้น เราจึงแนะนำเปิดสถานะ Long เมื่อมีการอ่อนตัวลงมาในกรอบ 36.25 – 37 บาท โดยใช้ 35 บาทเป็นจุด Stop Loss และมีเป้าหมายทำกำไรที่ 39-40 บาท ทั้งนี้ หากต้องการถือลุ้นผลการดำเนินงาน Q2/64 ควรเปิดสถานะ Long ใน MEGAU21 ซึ่งจะหมดอายุสัญญาในเดือน ก.ย. 64 แทนที่จะเป็น MEGAM21 ซึ่งจะหมดอายุสิ้นเดือน มิ.ย. 64 นี้
หมายเหตุ: ราคาหุ้น ณ วันที่ 16 มิ.ย. 64
Array ( [cooCAFXXSUAV] => cooCAFXXSUAV [Secure-PHPSESSID] => 9c8vde8e9okcjupnj9fsmgq5s5 )
Array ( [sesCAFXXSLAT] => 1732332748 [CAFXSI18NX] => th [_csrf] => 5ad0c30cac177f17e0a0eef8cafb82a1 [CAFXSFEREF] => https://www.caf.co.th/switcher.html?action=language&language=th&origin=https%3A%2F%2Fwww.caf.co.th%2Farticle%2Fanalyze-mega-stock-2021.html )
Array ( [content] => analyze-mega-stock-2021 )
Array ( )