บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน คลาสสิก ออสสิริส จำกัด

นอกจาก FOMC พ.ย. 66 ต้องติดตามอีก 5 ปัจจัย!

นอกจาก FOMC พ.ย. 66 ต้องติดตามอีก 5 ปัจจัย!

เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566


หลังวันที่ 1-2 พ.ย.66 ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ได้ประชุม FOMC โดยคงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25-5.50% และส่งสัญญาณยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯกับตลาดแรงงานแข็งแกร่ง ,และเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง แต่ตลาดแรงงานและเงินเฟ้อเริ่มเห็นการชะลอตัว รวมทั้งประธาน FED มีมุมมองใช้นโยบายการเงินที่ระมัดระวังมากขึ้นเพราะอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯปัจจุบันสูงกว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ หนุนนักลงทุนมั่นใจลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เป็นปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้ พ.ย.66 มีอีก 5 ปัจจัยที่เราต้องติดตาม

1.ตัวเลขเศรษฐกิจทั้งไทยและประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจ
แน่นอนว่าแต่ละเดือนนักลงทุนต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจ โดยตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยคือ GDPQ3/66 คาดชะลอการขยายตัวเหลือ 1.6% ต่ำกว่า Q2/66 ที่ขยายตัว 1.8% เมื่อเทียบรายปี กดความน่าสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทย ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจที่ต้องตามอย่าง
สหรัฐฯ ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเอกชน ,อัตราการว่างงาน ,CPI ,และ PCE คาดผ่อนคลายมากขึ้น และหากการประกาศ GDPQ3/66 รอบ 2 ของสหรัฐฯออกมาต่ำกว่าครั้งก่อนที่ 4.9% หนุนนักลงทุนมั่นใจว่า FED ได้ยุติการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว หนุนความน่าสนใจลงทุน
ทั้งนี้ต้องระวังตัวเลขเศรษฐกิจของจีนและยูโรโซน หลัง PMI ต.ค.66 ภาคการผลิตจีนพลิกหดตัวและ PMI ภาคบริการ ชะลอการขยายตัว โดยเฉพาะยูโรโซน ที่ PMI ภาคการผลิตและบริการหดตัว รวมทั้ง GDPQ3/66 ยูโรโซนที่หดตัว -0.1% ดังนั้นหากตัวเลขเศรษฐกิจทั้งจีนและยูโรโซน พ.ย.66 ไม่ฟื้นตัว เสี่ยงการค้าทั่วโลกชะลอตัวอีกครั้ง กดการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มส่งออกอย่าง CPF, DELTA, GFPT, HANA, KCE, STA, STGT, TKN, TU

2.สงครามฮามาส-อิสราเอล
หลังอิสราเอลประกาศทำสงครามเฟส 2 กวาดล้างกลุ่มฮามาส โดยเริ่มเคลื่อนกำลังพลและรถถังเข้าโจมตีฉนวนกาซา ซึ่งผู้นำอิหร่านเตือนว่าการโจมตีครั้งนี้ล้ำเส้นมากเกินไปและอาจทำให้หลายฝ่ายออกมาเคลื่อนไหว
สิ่งที่เราต้องติดตามนั้นคือ “การตอบโต้กลับของชาติมุสลิม” หากไม่มีการตอบโต้ สงครามจะไม่ขยายวงทำให้แรงกดดันบรรยากาศการลงทุนจะผ่อนคลายลงพร้อมกับการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมัน แต่ถ้าไม่! เสี่ยงเห็นแรงเทขายของนักลงทุนในตลาดหุ้น รวมทั้งราคาน้ำมันเสี่ยงปรับตัวจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้มีการตั้งสมมุติฐานราคาน้ำมันของ แบงก์ ออฟ อเมริกา และเวิลด์แบงก์ แต่ละกรณีดังนี้
แบงก์ ออฟ อเมริกา
1.สงครามฮามาส-อิสราเอลมีการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและการขนส่งน้ำมันหยุดชะงัก กรณีนี้จะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มแตะ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
2.สงครามขยายวงจนกระทบให้การขนส่งน้ำมันลดลงวันละ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ราคาน้ำมันจะแตะ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
3.กรณีที่ร้ายแรงที่สุดคือสหรัฐฯโจมตีอิหร่านเพื่อตอบโต้การสนับสนุนฮามาส นำไปสู่การปิดช่องแคบฮอร์มุชเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญของโลก ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งแตะ 250 ดอลลาร์
เวิลด์แบงก์
1.สงครามฮามาส-อิสราเอลไม่รุนแรงมากและกระทบปริมาณการขนส่งน้ำมัน 5 แสน ถึง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จะดันราคาน้ำมันแตะ 93-102 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
2.หากสงครามขยายวงกว้างและกดปริมาณน้ำมันในตลาดลง 3-5 ล้านบาร์เรลต่อวัน กรณีนี้ราคาน้ำมันเสี่ยงปรับเพิ่มแตะ 121 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
3.กรณีที่ร้ายแรงงานที่สุด หากสงครามขยายตัวอย่างมากทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดลดลง 6-8 ล้านบาร์เรลต่อวัน เสี่ยงราคาน้ำมันพุ่งแตะ 157 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

หากสงครามมีแนวโน้มขยายวงและกระทบต่อการขนส่งน้ำมัน จะกระทบให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์คือหุ้นกลุ่มพลังงานอย่าง BCP ,BGRIM ,ESSO ,EGCO ,GPSC ,GULF ,IRPC ,OR ,PTT ,PTTEP ,PTTGC ,RATCH ,TOP ทั้งนี้การที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้น สร้างความเสี่ยงให้นักลงทุนกลับมากังวลเงินเฟ้ออีกครั้ง เพราะราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ย่อมทำให้เงินเฟ้อขยายตัวตาม เสี่ยงธนาคารกลางหลายประเทศ ส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินยาวนานหรือเข้มงวดมากขึ้น กดดันความน่าสนใจการลงทุน

3.การประชุม กนง.
วันที่ 29 พ.ย. 66 ลุ้นกับการประชุมธนาคารกลางไทย หรือ กนง. เป็นครั้งสุดท้ายของปี 66 คาดคงดอกเบี้ยที่ 2.50% หลังบันทึกการประชุม กนง. รอบล่าสุด มีมุมมองต่ออัตราดอกเบี้ยที่ 2.50% ว่าเหมาะกับเศรษฐกิจไทยปัจจุบัน สิ่งที่ต้องลุ้นคือการปรับคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจปี 66 และ 67 ในส่วนของ GDP ,การบริโภค-การลงทุน ทั้งภาครัฐฯและเอกชน ,ดุลการค้า ,และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังรัฐบาลได้ออกมาตรการฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวอินเดีย-ไต้หวัน หากมีการปรับคาดการณ์ขึ้น บวกต่อการลงทุนตลาดหุ้นไทย

4.การประกาศผลประกอบการ Q3/66
พ.ย. 66 ยังอยู่ในช่วงประกาศผลประกอบการ Q3/66 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย หลังทยอยประกาศมาตั้งแต่กลางเดือน ต.ค. 66 และจะสิ้นสุดในวันที่ 15 พ.ย. 66(ไม่เกิน 45 วันหลังจบไตรมาส) โดยจะประกาศมากเป็นพิเศษช่วงสัปดาห์ที่ 2-3 ของเดือน ทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนอย่างมากในช่วงนี้

5.Government Shutdown จะเกิดหรือไม่?
จากวุฒิสภาสหรัฐฯมีมติผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวในวันที่ 30 ก.ย.66 ทำให้สหรัฐฯรอดจากการเกิด Government Shutdown ในครั้งนั้น ทั้งนี้ความเสี่ยงได้กลับมาอีกครั้งเพราะงบประมาณชั่วคราวจะสามารถใช้ได้ถึงในวันที่ 17 พ.ย. 66 หากไม่สามารถผ่านงบประมาณเพิ่มเติม เสี่ยงเกิด Government Shutdown ทำให้ลูกจ้างรัฐบาลส่วนใหญ่ถูกพักงานชั่วคราว กดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอการขยายตัว ซึ่งสหรัฐฯเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย เสี่ยงคำสั่งซื้อของภาคการส่งออกลดลง ซึ่งภาคการส่งออกมีสัดส่วน 60-70 ของ GDP กดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เป็นลบต่อการลงทุนตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มส่งออก CPF, DELTA, GFPT, HANA, KCE, STA, STGT, TKN, TU

สรุป
การลงทุน พ.ย. 66 นอกจากการประชุม FOMC แล้ว พ.ย.66 เรายังต้องลุ้นอีก 5 ปัจจัยคือ 1.ตัวเลขเศรษฐกิจทั้งไทยและต่างประเทศ 2.สงครามฮามาส-อิสราเอล 3.การประชุม กนง. 4.การประกาศผลประกอบการ Q3/66 5. Government Shutdown จะเกิดหรือไม่? ทำให้ตลาดหุ้น พ.ย.66 มีโอกาสผันผวนเป็นอย่างมากและคาดกรอบการปรับของ SET50 อยู่ที่ 818-950 จุด

 

เปิดบัญชี TFEX
รับสิทธิพิเศษทันที !!
Array
(
    [cooCAFXXSUAV] => cooCAFXXSUAV
    [Secure-PHPSESSID] => 137c8taeb6kvo6oilvocufcu9e
)
		
Array
(
    [sesCAFXXSLAT] => 1733245831
    [CAFXSI18NX] => th
    [_csrf] => cbc2542572a755a56ba41b7fdb064c6f
    [CAFXSFEREF] => https://www.caf.co.th/switcher.html?action=language&language=th&origin=https%3A%2F%2Fwww.caf.co.th%2Farticle%2Fanalyze-fomc-meeting-2-66.html
)
		
Array
(
    [content] => analyze-fomc-meeting-2-66
)
		
Array
(
)