โควิดจีน อาจระบาดครั้งใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีมา

---

เผยแพร่เมื่อ วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

---

ตัวเลขผู้ติดเชื้อในจีนกลับมาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง จ่อสูงสุดในรอบ 7 เดือน อยู่ที่ 31,410 ราย ในวันที่ 27 พ.ย. 2565 ก่อนหน้านี้มีผู้ติดเชื้อสูงสุดในวันที่ 21 เม.ย. 2565 จำนวน 31,424 ราย รวมทั้งการใช้มาตรการล็อกดาวน์ในหลายๆเมืองมีการขยายระยะเวลาขึ้น หลังพบผู้ติดเชื้อมากขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจจีนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เนื่องจากการล็อกดาวน์รอบนี้ จะยาวนานกว่าครั้งก่อน สาเหตุมาจาก

1.การติดเชื้อโควิด-19 ที่สะสมมาตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2565 เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธ์ Omicron สามารถติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะฉีดวัคซีนโควิดไปแล้วก็สามารถติดได้

2.การผ่อนคลายมาตรการโควิดเป็นศูนย์ โดยลดวันกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศ เหลือ 8 วันจาก 10 วัน และยกเลิกการปิดเส้นทางบินเมื่อเจอคนติดโควิด

3.การประท้วงที่รุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น จากความไม่พอใจการใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีนที่กระทบเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน รวมทั้งความไม่พอใจที่เกิดเหตุการณ์ผู้เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ในเมืองอุรุมชี ซึ่งเชื่อว่ามีสาเหตุการเสียชีวิตมาจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่ดังกล่าว และเรียกร้องให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ลาออกจากตำแหน่ง มีผลให้ถึงแม้ว่าจะมีมาตรการล็อกดาวน์ ก็ไม่ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง เพราะผู้ประท้วงไม่ทำตามมาตรการ

ด้วยเหตุผลทั้ง 3 ข้อ ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นำไปสู่มาตรการโควิดเป็นศูนย์ที่เข้มงวดมากขึ้นและยาวนานขึ้น เพราะจีนเชื่อว่ามาตรการนี้ สามารถช่วยชีวิต กลุ่มคนเปราะบางได้ เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ซึ่งการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดในจีนก็ทำให้ผู้เสียชีวิตน้อยมากจริง โดยใน 1 ล้านคนของจีน จะมีผู้เสียชีวิตเพียง 3 รายเท่านั้น เทียบกับสหรัฐฯที่ 1 ล้านคน จะมีผู้เสียชีวิตถึง 3,000 ราย

อย่างไรก็ตามการล็อกดาวน์ที่ยาวนานของจีน กระทบห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ราคาสินค้า และ เงินเฟ้อปรับสูงขึ้น กดเศรษฐกิจจีนขยายตัวลดลง รวมทั้งปิดโอกาสที่จีนจะเปิดประเทศเร็วๆนี้ ทั้งนี้การล็อกดาวน์ที่ยาวนาน ส่งผลให้ปริมาณการใช้น้ำมันน้อยลง กดราคาน้ำมันปรับตัวลง ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันดิบ BRENT ต่ำสุดในรอบ 10 เดือน อยู่ที่ 81.1 จุด โดยกระทบกลุ่มหุ้นดังนี้

เป็นลบ
หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ จากมีฐานการผลิตในประเทศจีน เช่น HANA (18%), Delta (14%), KCE (10%)

หุ้นกลุ่มน้ำมัน จากมีรายได้ลดลง เช่น PRM, PTT, PTTEP

หุ้นค้าปลีกน้ำมัน จากจะขาดทุนสต็อกน้ำมัน เช่น BCP, ESSO, PTG, OR

หุ้นกลุ่มโรงแรมและกลุ่มสายการบิน จากการรอคอยนักท่องเที่ยวจีน เช่น AAV, AOT, AWC, BA, CENTEL, ERW, MINT, SHR