หุ้นน่าลงทุนหลังการยุบสภา

Posted on Wednesday, March 22, 2023

วันที่ 20 มี.ค. 66 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ประกาศยุบสภา ส่งความชัดเจนในการเลือกตั้งมากขึ้น โดย สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดการเลือกตั้งไว้ วันที่ 14 พ.ค. 66

มีผลยังไงต่อหุ้น?

ก่อนที่จะอธิบายว่าการยุบสภามีผลต่อหุ้นอะไรบ้าง ขอพานักลงทุนไปดูนโยบายที่เกี่ยวข้องเศรษฐกิจของแต่ละพรรคก่อน

สรุปนโยบายเศรษฐกิจ
นโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองส่วนใหญ่จะ เน้นไปในการเพิ่มรายได้ ให้กับประชาชน ทั้งขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 450-600 บาทต่อวัน, การเพิ่มเงินในบัตรประชารัฐ เป็น 700-1,000 บาทต่อเดือน, การสร้างแรงงานทักษะสูง, การให้เงินช่วยเหลือทั้งภาค เกษตรกรและประมง และ นโยบายลดรายจ่ายให้กับประชาชน อย่าง การลดราคาพลังงาน, ลดภาษีบุคคลธรรมดา รวมถึง นโยบายส่งเสริมภาคการลงทุน เช่น การงดเก็บภาษีและให้เงินช่วยเหลือกับ SMEs และ Start up

กระทบอย่างไร
เป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนในประเทศ เกิดการใช้จ่ายสูงขึ้น จากรายได้ที่สูงขึ้น รวมถึงสร้างโอกาสภาคธุรกิจขยายธุรกิจได้มากขึ้น หนุนเศรษฐกิจประเทศไทยฟื้นตัว

นอกจากนี้
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีมุมมองว่าการแข่งขันการเลือกตั้งครั้งนี้จะเข้มข้น และเพิ่มคาดการณ์ เงินหมุนเวียนที่จะเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้งมากขึ้น เป็น 1-1.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าคาดครั้งก่อนที่ 5-6 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 100% และสามารถกระตุ้น GDP ปี 66 ได้ 0.5-0.7%

หุ้นกลุ่มไหนที่ได้ประโยชน์

กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์คงไม่พ้นหุ้นที่รายได้ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจในประเทศอย่างกลุ่มหุ้น Domestic Play เพราะจะทำให้มีโอกาสในการสร้างยอดขาย และมีรายได้ที่สูงขึ้น รวมถึงยังได้ประโยชน์จากนโยบายลดราคาพลังงานลง ทำให้เรามองว่าหุ้น Domestic Play เป็นกลุ่มหุ้นที่ได้ Sentiment เชิงบวกมากที่สุด หลังมีการประกาศยุบสภาในวันที่ 20 มี.ค. 66 และจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. 66 ซึ่ง หุ้นในกลุ่ม Domestic Play ใน Single Stock Futures คือ

หุ้นค้าปลีก BJC, CPALL, CRC, COM7, JMART
หุ้นที่มีรายได้จากอาหารและเครื่องดื่ม CBG, CENTEL, ICHI, M, MINT, OSP, TTA
หุ้นสื่อสาร ADVANC, TRUE
หุ้นกลุ่มธนาคาร BBL, KBANK, KTB, SCB
หุ้นลิสซิ่ง JMT, MTC, SAWAD, TIDLOR, THANI

ทั้งนี้หุ้นกลุ่มธนาคารกับหุ้นลิสซิ่ง ต้องระวังนโยบาย การพักหนี้ หยุดต้น ปลอดดอกเบี้ย และการยกเลิกแบล็กลิสต์บูโร เพราะจะทำให้มีความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจของหุ้นกลุ่มธนาคารกับหุ้นลิสซิ่ง เพิ่มสูงขึ้น