เผยแพร่เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2562
สงครามไม่เคยทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัว มีแต่ทำให้ชะลอตัวเท่านั้น เหมือนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน “สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน” และนักวิเคราะห์หลายคนมองว่าไม่จบง่ายๆ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดมาจากคนคนเดียวคือ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เริ่มหาเสียงด้วยแคมเปญ ” America Great Again” ในการเลือกตั้งของสหรัฐฯในปี 2559 และเข้าได้ก้าวเข้ามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 45
โดยวิธีที่ทรัมป์จะทำให้ America Great Again ต้องลดการขาดดุลของสหรัฐฯให้ได้ก่อน จึงก่อเกิดสงครามการค้าอย่างที่ในเห็นในปัจจุบัน ซึ่ง 5 ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่าง จีน ,เม็กซิโก ,แคนาดา ,ญี่ปุ่น ,เยอรมนี และตอนนี้สหรัฐฯได้เปิดสงครามการค้ากับประเทศเหล่านี้หมดแล้ว แต่สงครามการค้าที่รุนแรงสุดคือ การเปิดสงครามการค้ากับจีน ทำให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบมากที่สุด ทีนี้เราจะย้อนดูว่า หมัดแรกถึงหมัดล่าสุดระหว่างสหรัฐฯ-จีน เกิดอะไรขึ้นบ้าง และเราจะใช้เหตุการณ์ดังกล่าวเพื่อคาดการณ์แนวโน้มสงครามการค้าและนักลงทุนทองคำจะได้ปรับตัวหากสงครามการค้ารุนแรงมากขึ้น หรือ การจบสงครามการค้า จะทำให้ราคาทองคำขึ้นหรือลงจะได้ปรับตัวทัน
โดยสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน เปิดฉากในปี 2561
หลังจากนั้นการแลกหมัดเริ่มรุนแรงมากขึ้นสหรัฐฯรู้สึกได้ว่าจีนไม่ยอมง่ายๆ สหรัฐฯจึงงัดลูกไม้เก่าโดยการขึ้นภาษีสินค้าจีน 25% ในสินค้าเกี่ยวกับ เหล็ก ,เครื่องจักรไฟฟ้า ,และชิ้นส่วนรถไฟ มูลค่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันที่ 23 ส.ค. 2561 ขณะที่จีนสวนหมัดกลับ โดยการขึ้นภาษีสินค้า 25% มูลค่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ในวันเดียวกัน
จากการขึ้นภาษีมาแล้วประเทศละ 2 ครั้ง ในช่วงนี้จึงเกิดการเจรจานำโดยสหรัฐฯเชิญจีนมาเจรจาที่สหรัฐฯ พร้อมให้เงื่อนไขว่า หากเจรจากันไม่ลงตัว สหรัฐฯจะขึ้นภาษีสินค้ามูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ในวันที่ 12 ก.ย. 2561 ซึ่งทำให้จีนมองว่าสหรัฐไม่มีความจริงใจในการเจรจาการค้า จีนจึงตอบปฏิเสธในการเจรจาการค้า ทำให้จบยกที่ 1 ไปค้างคา
ต่อกันต้นยกที่ 2 เกิดการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-จีน เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2561 โดยทรัมป์และสีได้เจรจากันได้ข้อสรุปว่า สหรัฐฯจะเลื่อนกำหนดการขึ้นภาษีสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ในเดือน ก.พ. 2562 แทนที่จะเป็นเดือนธ.ค. 2561 และต่อด้วยการเจรจาเมื่อเดือนต้น ธ.ค.ทำให้วันที่ 14 ธ.ค. จีนเริ่มลดการป้องกันลง โดยการประกาศลดภาษีรถยนต์จากเดิม 25% ลดเหลือ 15% และซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ 1.5 ล้านต้น ทำให้บรรยากาศสงครามการค้าเบาลง จบยกที่ 2 แบบมีไมตรีระหว่างสหรัฐฯกับจีน
เริ่มต้นยกที่ 3 เกิดการเจรจาการค้าในวันที่ 7 – 9 ม.ค. 2562 แต่ไม่สามารถตกลงในประเด็นที่สหรัฐฯกล่าวหาว่าจีนจะต้องไม่ขโมยเทคโลยีสหรัฐฯ ซึ่งจีนก็บอกว่าไม่ได้ขโมย ทำให้ในยกนี้จีนต้องแก้สถานการณ์โดยยื่นไมตรีที่เสนอว่าจะซื้อถั่วเหลือง 5 ล้านต้น ในวันที่ 30 – 31 ม.ค. 2562 ทำให้สหรัฐฯพอใจและเลื่อนการเก็บภาษี 2 แสนล้านดอลลาร์ที่จะใช้ในเดือน ก.พ. เลื่อนเป็น พ.ค. แทน ระหว่างนั้นก็อยู่ระหว่างการเจรจา
เข้าถึงยกที่ 4 การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯออกหมัดแบบนับไม่ทันในปลายยก 3 เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2562 โดยประกาศว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจีน 25% มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ มีผลในวันที่ 10 พ.ค. 2562 และจีนออกหมัดสวนจีนประกาศขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ 5-25% ในสินค้า 5,140 รายการ มูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ มีผลวันที่ 1 มิ.ย. 2562
หลังจากจบยกที่ 4 ในปลายยกนั้นสหรัฐฯออกหมัดแต่ไม่แน่ใจว่าเข้าเป้าหรือไม่ แต่ในสายตาเราว่าเข้าเป้าแล้วและกำลังเริ่มยกที่ 5 ซึ่งเป็นยกนี้วันที่ 2 ส.ค. ทรัมป์ประกาศว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 10% ในสินค้า 3,812 รายการ มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ก.ย. และในช่วงปลายยกที่ 5 ในวันที่ 13 ส.ค. ทรัมป์มีอาการแปลกๆ เนื่องจากเขาประกาศว่าจะเลื่อนกำหนดการขึ้นสินค้าจีนจากเดิมจะเก็บในวันที่ 1 ก.ย. ไปเป็นสันที่ 15 ธ.ค. แทนทำเอาผู้ชมอย่างเรางงไปตามๆกัน ทำให้สงครามการค้ากลับมาเบาลงอีกครั้ง ซึ่งเรามองว่าการชกครั้งนี้มีโอกาสไปถึงยกที่ 9(Q3/20) หรืออาจครบยกเลยก็ได้ เพราะการชกครั้งนี้สหรัฐฯเดิมพันสูง คือ ผู้นำเศรษฐกิจโลก ฉะนั้นแล้วสหรัฐฯจะชกแบบระวังมากๆ เพราะการพลาดเพียงครั้งเดียวอาจทำให้เสียแชมป์ได้ทันที
แล้วก็มาถึงหัวข้อสำคัญสงครามการค้าส่งผลอย่างไรต่อราคา Gold Spot
จากกราฟเราสังเกตได้ 3 จุด
มาถึงคำถามสำคัญคือ แนวทางเดินเกมของสหรัฐฯและจีนเป็นอย่างไร ?
เริ่มที่สหรัฐฯมาในรูปแบบการรุกเต็มที่ มีหมัด 2 แบบ คือ
ส่วนจีนมาในรูปแบบรับรอยกที่ 10 ถึง 12 ซึ่งจีนคาดว่าสหรัฐฯจะหมดแรงจากการที่รุกมาโดยตลอด
จากกราฟจะสังเกตได้ว่า การลดดอกเบี้ยทำให้ Unemployment Rate ลดลงและ ดัชนี Dow Jones เพิ่มขึ้นนั่นเอง
แล้วผลลัพธ์ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการคือ อะไร
และจีนรับมือกับสงครามการค้าที่สหรัฐฯก่อขึ้นอย่างไร ?
สิ่งที่จีนทำคือ พยายามให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และรอการตั้งเลือกของสหรัฐฯ ซึ่งหวังว่าทรัมป์จะไม่ได้ในสมัยที่ 2 จะได้จบสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และระหว่างที่โดนสหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้าเข้า จีนได้ทำก็คือ การลอยค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าแตะ 7 หยวนต่อดอลลาร์ เพื่อลดราคาสินค้าของจีนให้ถูกลงเมื่อซื้อด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
แล้วสงครามการค้ามีแนวโน้มที่จะจบอย่างไร เรามองว่าไว้ 3 แนวทาง
และนี่คือ มุมมองที่เราคาดว่าสงครามการค้ามีแนวโน้มจะจบปีไหน และสุดท้ายเมื่อมีการเริ่มต้น ก็ต้องมีจุดสิ้นสุดในกรณีนี้น่าจะจบก่อนปี 2024
แหล่งข้อมูลประกอบการวิเคราะห์
- https://www.bot.or.th/Thai/BOT_Magazine/Pages/Theknowledge_ARM0162.aspx
- Aspen
- bloomberg.com
- reuters.com
Array ( )
Array ( [sesCAFXXSLAT] => 1732363752 [CAFXSI18NX] => th [_csrf] => 17d1e3991f721d86ca3b57ddb580a0df [CAFXSFEREF] => https://www.caf.co.th/article/usa-chinatradewarpunchtopunch.html )
Array ( [content] => usa-chinatradewarpunchtopunch )
Array ( )