เผยแพร่เมื่อ วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2565
ค่าเงินปอนด์ต่ำงินสุดในรอบ 37 ปี เพราะอะไร ?
การอ่อนค่าของปอนด์ต่อดอลลาร์สหรัฐฯถึง 3% ในวันศุกร์ที่ผ่านมาแตะ 1.085 จุด นับเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 37 ปี
การอ่อนค่าของปอนด์เกิดจาก นักลงทุนกังวลต่อเศรษฐกิจอังกฤษที่มีผู้นำคนใหม่อย่าง นางลิซ ทรัสส์ ที่สรุปนโยบายของรัฐที่จะใช้มาตรการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ และมาตรการเยียวยาภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน ในสถานการณ์ที่อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษขึ้นไปแตะ 10%
การใช้มาตรการดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะกดอัตราเงินเฟ้อให้เพิ่มมากกว่า 10% สิ่งที่จะตามมา คือ ราคาสินค้าและบริการที่แพงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการบริโภคที่กำลังจะลดลงในอนาคต
ทำไมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจถึงส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ มองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมาตรการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ และมาตรการเยียวยาภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานสูง เป็นผลกระทบเชิงบวกระยะสั้นๆ แต่เป็นผลเสียระยะกลางถึงยาว เพราะอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะเกิดทั้งราคาสินค้า และเพิ่มความต้องการสินค้า ประกอบกับความไม่เข้ากันของนโยบายการเงินและการคลัง เนื่องจากนโยบายการเงินพยายามลดเงินเฟ้อโดยการขึ้นดอกเบี้ย แต่นโยบายการคลังเพิ่มเงินเฟ้อโดยการลดภาษีและกระตุ้นเศรษฐกิจ
แนวโน้มของค่าเงินปอนด์มีโอกาสต่ำสุดในรอบ 37 ปี เนื่องจากเศรษฐกิจอังกฤษมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเจออย่าง อัตราเงินเฟ้อที่สูง การบริโภคและการลงทุนของเอกชน รวมถึงการส่งออกนำเข้าชะลอตัว ประกอบกับสถานะทางการคลังของอังกฤษจะลดลงจากรายได้ลดจากการลดการเก็บภาษี ประกอบกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการเยียวยาภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน
เหตุที่ราคาน้ำมัน Brent หลุด 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมัน Brent ในปัจจุบันแตะระดับ 86.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นับเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 8 เดือน เนื่องจาก 2 ปัจจัย
1. แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกอย่าง สหรัฐฯใช้ดอกเบี้ยถึง 3.25% ,แคนาดา +3.25% ,จีน 2.75% ,อังกฤษ +2.25% ,ยูโร +1.25% , ฟิลิปปินส์ +2.25% , เวียดนาม +3.5% ,อินโดนีเซีย +4.25% นักลงทุนเริ่มกังวลกับแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะตามมาด้วยการชะลอตัวของการบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกนำเข้า ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจชะลอตัว อุตสาหกรรมหดตัว ลดความต้องการน้ำมันลง
2. การเข้ามาของรถไฟฟ้า(EV) โดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) เปิดรายงานว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า มีแนวโน้มพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ ในปี 2564 ยอดขายรถ EV ขยายตัว 9% ของตลาดรถยนต์ ทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2564 แตะ 6.6 ล้านคัน และในปี 2565 คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แตะที่ระดับ 13% โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2565 อาจแตะ 7.4 ล้านคัน และกำลังเพิ่มขึ้นในทุกๆปีจากการเปลี่ยนเปลงนโยบายของนานาประเทศที่รักษ์โลก
สรุปแนวโน้มราคาน้ำมันมีโอกาสปรับลงต่อจาก 2 ปัจจัยอย่างเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และการขยายตัวของรถ EV
Array ( )
Array ( [sesCAFXXSLAT] => 1737960287 [CAFXSI18NX] => th [_csrf] => 453b20483cd3983d31c6418752e18677 [CAFXSFEREF] => https://www.caf.co.th/article/caf-update-26-09-65.html )
Array ( [content] => caf-update-26-09-65 )
Array ( )