BAY เกาะกระแส IPO หุ้น TIDLOR เข้า Long ต่อได้หรือไม่?

---

เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2564

---

เข้าสู่ชั่วโมงการจองซื้อหุ้น IPO ของบริษัทผู้ให้สินเชื่อชื่อดัง ที่มีการดำเนินธุรกิจมายาวนาน อย่าง บมจ.เงินติดล้อ หรือ TIDLOR ที่ต้องบอกว่าได้รับความสนใจมากกว่าที่คาด เพราะ เพียงแค่ชั่วโมงแรกของการเปิดระบบการจอง มีผู้ที่ให้ความสนใจเข้าไปจองจนระบบล่มกันเลยทีเดียว (แต่ก็แค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น เพราะตอนนี้ระบบกลับมาปกติแล้ว) คำถามแรก คือ TIDLOR น่าสนใจอย่างไร?

เล่าให้ฟังคร่าวๆก่อนว่า เงินติดล้อ (TIDLOR) และ ศรีสวัสดิ์ (SAWAD) เป็นคนละบริษัทกัน ถึงแม้เราจะเคยได้ยินว่า “ศรีสวัสดิ์ เงินติดล้อ” นั่นก็เพราะว่า ทั้ง 2 บริษัทมีผู้ก่อตั้งตระกูลเดียวกัน เพียงแต่ว่าบริษัทที่กำเนิดขึ้นและกลายมาเป็น TIDLOR นั้นเกิดขึ้นก่อน ย้อนไปในปี 2523 บมจ.เงินติดล้อ ก่อตั้งขึ้นในชื่อ “บริษัท ศรีสวัสดิ์ เพชรบูรณ์ จำกัด” ก่อนจะขยายสาขาไปทั่วประเทศอย่างแข็งแกร่ง และทำให้บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ อย่าง AIG เข้ามาซื้อกิจการไปในปี 2550 (ซึ่งหลังจากขายกิจการ ตระกูลผู้ก่อตั้งเงินติดล้อ ก็ได้ไปตั้งกิจการใหม่ในชื่อ บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น หรือ SAWAD ที่เรารู้จักกันในตลาดหุ้นนั่นเอง)

และไม่นานหลังจากนั้น สหรัฐฯเกิดวิกฤตซับไพรม์ ทำให้ AIG ตัดสินใจขายกิจการของเงินติดล้อออกไปในปี 2552 โดยมี “ธนาคารกรุงศรีอยุธยา” เข้ามาซื้อและรับช่วงต่อในการเป็นผู้ถือหุ้น และเปลี่ยนชื่อเป็น “ศรีสวัสดิ์ เงินติดล้อ” และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนต่อผู้บริโภค ทางบริษัทก็ได้ตัดคำว่า “ศรีสวัสดิ์” ออก และก็ได้ดำเนินธุรกิจยาวมาจนถึงปี 2563 ก็ได้อัพเกรดตัวเองเป็น บมจ.เงินติดล้อ เพื่อเตรียมจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2564 ใช้ตัวย่อว่า “TIDLOR” ซึ่งกำลังเปิดให้จองหุ้น IPO อยู่ในขณะนี้

ผลการดำเนินงานของ TIDLOR เป็นอย่างไร? รายได้รวมปี 63 อยู่ที่ 10,558.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 62 และ 61 ที่มีรายได้รวม 9,457.9 ล้านบาท และ 7,569.4 ล้านบาทตามลำดับ ด้านกำไรสุทธิปี 63 จำนวน 2,416.1 ล้านบาท เทียบกับปี 62 และ 61 ที่มีกำไรสุทธิ 2,201.7 ล้านบาท และ 1,306.2 ล้านบาท ตามลำดับ จะเห็นว่ากำไรสุทธิก็เพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกันกับรายได้รวม

ด้าน NPL หรืออัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม ขยายตัวตามการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อ โดยในปี 63 TIDLOR มี NPL อยู่ที่ 1.66% จากปี 62 และ 61 ที่มี NPL 1.28% และ 1.11% ถามว่าจุดนี้เป็นความเสี่ยงของกิจการหรือไม่ ต้องตอบว่าเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง เพราะ เมื่อมีการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อ ย่อมสร้างโอกาสให้บริษัทเก็บดอกเบี้ยในระยะยาวได้มาก ในขณะที่ NPL เพิ่มขึ้น บริษัทก็เพียงแค่บริหารเงินสำรองให้เพียงพอต่อการจัดการหนี้เสีย และควบคุมไม่ให้ NPL มากจนเกินไป และด้วยประสบการณ์ที่มีมายาวนาน เราคาดว่าบริษัทจะจัดการเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

นั่นจึงทำให้ TIDLOR เป็นหุ้นที่น่าสนใจแก่นักลงทุนเป็นจำนวนมาก...คำถามต่อมาคือ แล้วหุ้น BAY ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จะได้อานิสงส์เชิงบวกต่อราคาหรือไม่? เราขอตอบด้วยภาพของราคาหุ้น BAY และคำอธิบาย ดังนี้

จากภาพจะเห็นว่า ราคาหุ้น BAY ปรับตัวขึ้นมาจากโซน 35 บาทมาทดสอบแถวๆ 39 บาท ในวันที่ประกาศวันจองซื้อหุ้น IPO เงินติดล้อ ก่อนจะอ่อนตัวลงไปปิด 36 บาทเนื่องจากแพ้ให้กับ Sentiment ลบของตลาด แต่หลังจากนั้นไม่นานราคาหุ้น BAY ก็ขยับขึ้นมาเรื่อยๆจนในวันนี้ (22 เม.ย. 64) ก็มาหยุดอยู่ที่แนวต้าน 39 บาทอีกครั้ง ณ จุดนี้ เรามีคำแนะนำให้ Wait & See ในฝั่ง Long หากทะลุแนวต้าน 39 บาท และเปลี่ยนกรอบขึ้นไปได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่ 40 และ 42 บาทตามลำดับ โดยใช้แนวรับที่ 37 บาทเป็นจุด Stop Loss

ทั้งนี้ หลังจากหุ้น TIDLOR เข้ามาโลดแล่นในตลาดหุ้นไทยแล้ว จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ BAY จากเดิมที่ถือ บมจ.เงินติดล้อ ในสัดส่วน 50% จะเหลือเพียง 30% จากจำนวนหุ้นจดทะเบียนทั้งหมด ซึ่งผลการดำเนินงานของ TIDLOR ย่อมส่งผลต่อผลการดำเนินงานของ BAY ในส่วนของมูลค่าเงินลงทุนของบริษัท 

อย่างไรก็ตาม ในการวิเคราะห์หุ้น BAY ให้วิเคราะห์จากภาพใหญ่ ซึ่งเป็นธุรกิจธนาคารเป็นหลัก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ แนวโน้มผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร? ใน Q1/64 BAY มีกำไรสุทธิ 6,923 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Q4/63 ที่มีกำไรสุทธิ 3,385 ล้านบาท (+107.76% QoQ) จากการลดลงของค่าเผื่อผลขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) สะท้อนให้เห็นสัญญาณฟื้นตัวครั้งแรกของ BAY นับตั้งแต่ Q2/63 เป็นต้นมา ดังนั้น หากนักลงทุนสนใจซื้อขาย Single Stock Futures ของ BAY เราแนะนำให้ Wait & See ในฝั่ง Long ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว

หมายเหตุ: ราคาหุ้น ณ วันที่ 22 เม.ย. 64