เผยแพร่เมื่อ วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2565
ราคาทองคำมีโอกาสผันผวนสุดๆ ในเดือน พ.ย. เนื่องจากมีปัจจัยกระทบราคาทองโลกและราคาทองคำไทยอย่าง การประชุม FOMC, แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ, เศรษฐกิจยุโรปจะถดถอย ?, และการเลือกตั้งสหรัฐฯ
การประชุม FOMC ในวันที่ 2 พ.ย. มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ย 0.5-0.75%
สาเหตุที่คิดว่าทำให้คิดว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เนื่องจากรายงานเบจบุ๊คของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งเป็นรายงานสำรวจภาวะเศรษฐกิจจากเฟดทั้ง 12 เขตของสหรัฐฯ ในเดือน ก.ย. 65 รายงานถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯใน 12 เขต ได้แก่ บอสตัน,นิวยอร์ก,ฟิลาเดลเฟีย,คลีฟแลนด์,ริชมอนด์,แอตแลนต้า,ชิคาโก,เซนต์หลุยส์,มินนิอาโปลิส,แคนซัสซิตี้,ดัลลัส,และซานฟรานซิสโก โดยกล่าวถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯขยายตัวจากเดือน ส.ค. 65 เนื่องจาก 1.การค้าปลีกขยายตัวได้คงที่ 2.ธุรกิจท่องเที่ยวขยายตัวขึ้นต่อเนื่อง 3.การขนส่งทางเรือแข็งแกร่ง 4.การจ้างงานสหรัฐฯแข็งแกร่งจากอัตราการว่างงานสหรัฐฯแตะ 3.5% และ 5.ราคาวัตถุดิบปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในหลายอุตสาหกรรม แต่ราคาพลังงานเริ่มลดลง
จากรายงานของเบจบุ๊คทำให้เห็นว่า การจ้างงาน ,การบริโภคจากประชาชนและท่องเที่ยวขยายตัว ,และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง จากปัจจัยที่กล่าวมาเป็นประเด็นที่ทำให้คิดว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75% จากภาคการแรงงานแข็งแกร่ง และเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ FED ฟิลาเดลเฟีย ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อ เพราะการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในช่วงที่ผ่านมาแทบไม่สามารถสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อของสหรัฐฯได้ และคาดการณ์ว่าการประชุม FOMC อีกสองครั้งในปีนี้จะขึ้นดอกเบี้ยแตะ 4%
การขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้มีแนวโน้มกดดันราคาทองคำ เนื่องจากการขึ้นดอกเบี้ยส่งให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า
แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เปิดรายงานการประชุม FOMC ในเดือน ก.ค. 2565 ได้กล่าวถึงประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยโดย กรรมการ FED แสดงถึงความพยายามจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงที่สุดเท่าที่จำเป็น และสามารถคุมอัตราเงินเฟ้อได้ แต่หากเศรษฐกิจสหรัฐฯมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลง FED มีโอกาสที่จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย
มาที่คำถามสำคัญคือ FED มองเศรษฐกิจสหรัฐฯในตอนนี้อย่างไร เพื่อที่จะได้วิเคราะห์ว่า การประชุม FOMC ที่เหลือของปีนี้จะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยอีกกี่ครั้ง โดย FED ประเมินเศรษฐกิจส่วนที่ดี คือ ภาคแรงงานขยายตัวดี แต่เศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วงการบริโภคและการผลิตชะลอตัว
เราวิเคราะห์สถานการณ์ตามที่ FED กล่าว
ภาคแรงงานขยายตัวจริง เพราะการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือน ก.ค. แตะ 528,000 ราย เป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน ประกอบกับอัตราการว่างงานลดลงแตะ 3.5% ระดับต่ำสุดในรอบ 28 เดือน
การบริโภคและการผลิตน่าเป็นห่วงก็จริง เนื่องจากยอดค้าปลีกเดือน ก.ค. ขยายตัวคงที่ ส่วนดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตขยายตัวลดลงแตะ 53 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 25 เดือน และการบริโภครวมถึงการผลิตที่ชะลอตัว ทำให้ความรู้สึกของประชาชนลดลง ชี้วัดผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯแตะ 95 จุด เป็นจุดต่ำสุดในรอบ 17 เดือน
หากเศรษฐกิจสหรัฐฯมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลง จะต้องเห็นการชะลอเศรษฐกิจ สิ่งที่ตามมา คือ การชะลอขึ้นดอกเบี้ย ฉะนั้นแล้วนักลงทุนต้องติดตามการประกาศตัวเลขของสหรัฐฯได้แก่
- 4 พ.ย.การจ้างงานนอกภาคการเกษตรและอัตราการว่างงานประกาศ เดือน ต.ค.
- 10 พ.ย. ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน ต.ค.
- 30 พ.ย. Gross Domestic Product หมายถึง ผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ (GDP) Q3/65
ในกรณีที่เศรษฐกิจยังแข็งแกร่งการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯจะดำเนินต่อไป และ CME Fed Watch Tool เผยคาดการณ์ขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งดังนี้
สรุปหากในปีนี้นักลงทุนเริ่มเห็นตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัว สิ่งที่จะเจอหลังจากนั้นอาจเป็นการกังวลว่า FED อาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยซึ่งเป็นโอกาสของราคาทองคำที่กำลังจะไปต่อ แต่กรณีที่ตัวเลขเศรษฐกิจขยายตัวต่อนักลงทุนเตรียมตัวเจอการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อกดเงินเฟ้อได้ทันทีและเป็นปัจจัยกดราคาทองคำ
เศรษฐกิจยุโรปจะถดถอย?
ทำไมนักลงทุนถึงกังวลว่าเศรษฐกิจยุโรปจะถดถอยและกระทบอะไรบ้างหลังจากรัสเซียเปิดฉากบุกยูเครนทำให้ชาติตะวันตกประกาศคว่ำบาตรต่างๆนานากับรัสเซีย และเป็นที่มาให้รัสเซียเริ่มลดปริมาณส่งพลังงานไปยุโรป โดยสมาคมท่อส่งแคสเปียน (CPC) ซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการน้ำมันประมาณ 1% ของโลก เปิดเผยว่า การส่งออกน้ำมันจากทุ่นเทียบเรือรับน้ำมันดิบ 2 ใน 3 แห่งในทะเลดำได้ถูกระงับ และแสดงให้รู้ว่าการขนส่งก๊าซธรรมชาติของรัสเซียไปยังยุโรปลดลงประมาณ 75% เมื่อเทียบเป็นรายปี
ทั้งนี้ยุโรปกำลังเจอกับวิกฤตภัยแล้งทำให้ขาดแคลนทั้งน้ำใช้และไฟฟ้า โดยปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำลดลง 20% เนื่องจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแม่น้ำลดลงจนถึงระดับที่ไม่เพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้า ส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์บางแห่งต้องหยุดเดินเครื่องเพราะขาดแคลนน้ำในการหล่อเย็นเตาปฏิกรณ์ ทำให้ยุโรปต้องพึ่งพลังงานรูปแบบอื่น แต่ก๊าซพรอม
ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ของรัสเซีย ประกาศว่า บริษัทจะปิดท่อส่งก๊าซ Nord Stream 1 ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.-2 ก.ย.เพื่อทำการซ่อมบำรุง ซึ่งการปิดท่อส่งก๊าซดังกล่าวจะส่งผลให้ยุโรปเผชิญวิกฤตพลังงาน และจะทำให้ราคาก๊าซพุ่งขึ้นอีก และปัญหาที่ตามมาคือ ต้นทุนการใช้ชีวิตของประชาชนในยุโรปกำลังเพิ่มขึ้น หมายความว่าอัตราเงินเฟ้อยุโรปสามารถพุ่งได้มากกว่านี้ ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรปและสร้างปัญหาให้รัฐบาลและธนาคารกลางยุโรปในการออกนโยบายหลังจากนี้
สิ่งที่สำคัญที่สุดของยุโรป คือ จะหาแหล่งพลังงานจากไหนมาใช้ และจะกดราคาพลังงานอย่างไร? แต่ตอนนี้ยุโรปพยายามดิ้นสุดแรงเพราะได้เจรจากับซาอุฯและอิหร่านเพื่อนำเข้าพลังงาน แต่ยังไม่มีวี่แววจะได้ทางออกที่ชัดเจน ซึ่งสร้างความกังวลแก่นักลงทุนว่า เศรษฐกิจยุโรปจะถดถอยต่อจากนี้ ซึ่งจะกดค่าเงินยุโรปอ่อนและส่งเงินดอลลาร์แข็ง
การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯอาจเป็นจุดจบไบเดน?
ประเด็นนี้คือการเลือกตั้งสหรัฐฯในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2565 จะมีการเลือกในวุฒิสภา 34 ที่นั่งจาก 100 ที่นั่ง และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ทั้งชุด 435 คน นับเป็นจุดเปลี่ยนของการเมืองสหรัฐฯ ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐตอนนี้เสียงข้างมากอยู่กับพรรคเดโมแครตมี 221 เสียง ซึ่งไบเดน เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯและได้เป็นในปี 2564 และริพับลิกันเป็นฝ่ายข้างน้อยมี 211 เสียง ส่วนวุฒิสภาสหรัฐฯคะแนนเสี่ยงของ เดโมแครตบวกอิสระ และริพับลิกันมี 50 เสียงเท่ากัน แต่สถานการณ์ปัจจุบันของไบเดนมีคะแนนนิยมตก เนื่องจากการรับมือกับโควิด-19 ,เศรษฐกิจที่มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ,ประเด็นที่เกิดความแตกแยกในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ผู้อพยพ เชื้อชาติ และสิทธิในการทำแท้ง รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจอย่างจีน และรัสเซีย อยู่ในขั้นตกต่ำ จากปัจจัยที่กล่าวมานี้ทำให้ประชากรของสหรัฐฯไม่พอใจในการทำงานของ ไบเดน และมองว่าไบเดนประสบความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการเมืองสหรัฐฯที่ทำให้ไบเดน ไม่สามารถใช้นโยบายได้เต็มที่ เพราะหากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯและวุฒิสภามีการเปลี่ยนขั้วอำนาจมาเป็นพรรคริพับลิกันถือเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา ไบเดนก็เตรียมตัวกลับไปนั่งเล่นที่บ้านในการเลือกตั้งสมัยหน้าได้เลย
หากไบเดนมีอำนาจน้อยลงในการบริหารประเทศจะส่งผลต่อนโยบายหลังจากนี้ของสหรัฐฯ และทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯที่ขยายตัวต่ำ สามารถเข้าสู่ระดับการหดตัวได้เลย จึงเป็นมุมมองที่ว่า หากพรรคริพับลิกันถือเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา เศรษฐกิจสหรัฐฯเตรียมชะลอตัว ซึ่งส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์ที่อาจอ่อนค่า และราคาทองคำจะกลับมาอีกครั้ง
สรุปปัจจัยที่จะกระทบราคาทองคำให้เดือน พ.ย. มี 4 ประเด็นได้แก่การประชุม FOMC, แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ, เศรษฐกิจยุโรปจะถดถอย?, และการเลือกตั้งสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนต้องจับตาประเด็นที่กล่าวมานี้
Array ( )
Array ( [sesCAFXXSLAT] => 1741419608 [CAFXSI18NX] => th [_csrf] => 6780652fa5085878b51726df6e55ae00 [CAFXSFEREF] => https://www.caf.co.th/article/analyze-gold-stock-2022.html )
Array ( [content] => analyze-gold-stock-2022 )
Array ( )