เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลและการแพทย์อาจจะเป็นหุ้นกลุ่มเดียวที่ยังมีกระแสเงินไหลเข้าอยู่ เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ที่ตัวเลขยังพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในไทย ขึ้นมาแตะหลัก 7,000 ราย (ณ วันที่ 8 ก.ค. 64) สะท้อนว่าการระบาดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แถมสายพันธุ์ที่เริ่มจะพบมากขึ้นในไทย อย่างสายพันธุ์เดลต้า ก็เป็นสายพันธุ์ที่ติดได้ง่าย ทำให้เกิดการระบาดได้เร็วขึ้น
เมื่อผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น บวกกับสถานการณ์ที่มีมาตรการควบคุมเข้มข้น ทำให้เกิด Sentiment ลบต่อดัชนีหุ้นไทย และหุ้นที่มี Market Cap ใหญ่หลายตัวถูกเทขายออกมา โดยเฉพาะกลุ่มที่มี Impact ต่อตลาดหุ้นไทย ได้แก่ กลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน รวมไปถึงกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรม ศูนย์การค้า ก็ได้รับผลกระทบจนเกิดแรงเทขายออกมาด้วย ในขณะเดียวกัน กลุ่มโรงพยาบาลก็มีเงินไหลเข้าไปลงทุนอยู่ตลอด เนื่องจากการระบาดที่รุนแรงขึ้น ย่อมทำให้โรงพยาบาลมีผู้ใช้บริการมากขึ้น นักลงทุนจึงเข้าไปเก็งกำไรหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลมากกว่ากลุ่มอื่นๆ
โดยหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นดีที่สุด 2 บริษัท ได้แก่ BCH หรือ บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล และ CHG หรือ บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ เพราะหุ้นทั้ง 2 ตัวต่างก็ทำ All Time High นับตั้งแต่จดทะเบียนเข้าตลาดมา โดย BCH ทำจุดสูงสุดไว้ที่ 25.50 บาท และ CHG ทำจุดสูงสุดไว้ที่ 4.42 บาท (ราคาช่วงเช้าของวันที่ 8 ก.ค. 64)
ส่วนหุ้น Big Cap ประจำกลุ่มโรงพยาบาลอย่าง BDMS แม้จะมีการปรับตัวขึ้นมาสูงตาม Sentiment บวกของกลุ่ม แต่ยังต้องระวังผลการดำเนินงานฟื้นตัวไม่มาก เนื่องจากโดยปกติ BDMS มีสัดส่วนรายได้จากผู้ใช้บริการที่เป็นชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย เช่นเดียวกับ BH ที่มีโครงสร้างรายได้ในลักษณะเดียวกัน จึงทำให้ราคาหุ้นของ BDMS และ BH ปรับตัวบวกขึ้นตาม Sentiment เท่านั้น ไม่โดดเด่นเหมือน BCH และ CHG
ทั้งนี้ BCH และ CHG เป็น 2 บริษัทที่มีผลการดำเนินงานปี 63 เติบโตดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 62 รวมถึงมีรายได้และกำไรสุทธิใน Q1/64 ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ Q1/63 สะท้อนถึงการเติบโตของธุรกิจ ภายใต้การระบาดของโควิด-19 ด้วยความที่ผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น และยังได้ประโยชน์จากเมื่อตอนต้นปี 63 มีการเพิ่มอัตราค่าบริการทางการแพทย์ สำหรับผู้ประกันตน ทำให้รายได้ของทั้ง 2 บริษัทดีขึ้น
และในปี 64 ด้วยความที่การระบาดของโควิด-19 มีความรุนแรงมากกว่าปี 63 ทำให้เรา CAF คาดว่าผู้ใช้บริการโรงพยาบาลมีโอกาสเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 63 ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากการบริการทางการแพทย์ และกำไรจากการดำเนินงานของ 2 บริษัทเติบโตขึ้นอีก จึงทำให้ทั้ง BCH และ CHG เป็นหุ้นที่ทำ performance ได้ดีมากที่ในปี 64 และยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจ ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนแบบนี้
แต่สำหรับการซื้อขาย Single Stock Futures ของ BCH และ CHG ควรชะลอการตัดสินใจไว้ก่อน หรือจะใช้คำว่าไม่ทันแล้ว สำหรับท่านที่ยังไม่ได้เข้า Long เนื่องจากราคาหุ้นเป็น All Time High อาจมีแรงเทขายลงมาตาม Sentiment ของตลาดที่อยู่ในฝั่งลบ โดยให้จับตาบริเวณแนวรับสำคัญของราคาหุ้นทั้ง 2 ตัว และมีคำแนะนำดังนี้
BCH มีแนวรับสำคัญบริเวณ 23 บาท ใช้จุดนี้เป็นจุด Stop Loss สำหรับท่านที่ Hold Long หากยังไม่ได้เปิดสถานะ Long แนะนำให้จับตาแนวรับดังกล่าว ส่วน CHG มีแนวรับชัดๆอยู่ที่ 4 บาท หากหลุดต่ำกว่านี้ แนะนำให้หลีกเลี่ยง และ Stop Loss สำหรับท่านที่ Hold Long
หมายเหตุ: ราคาหุ้น ณ วันที่ 8 ก.ค. 64
Array ( )
Array ( [sesCAFXXSLAT] => 1732310715 [CAFXSI18NX] => th [_csrf] => daa76de0686d53f85e5542d85d89f0a4 [CAFXSFEREF] => https://www.caf.co.th/article/analyze-bch-chg-stock-2021.html )
Array ( [content] => analyze-bch-chg-stock-2021 )
Array ( )